วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Return = Cash + Beta + Alpha

Return = Cash + Beta + Alpha

Cr: Donkey Trader
“Return = Cash + Beta + Alpha (ตอนที่ 1)
June 22, 2014 at 1:18am
สมการนี้ท่านได้แต่ใดมา ขอปูพื้นเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านเล็กน้อยนะครับ จะได้ไปพร้อมๆกัน
สมการนี้จริงๆ แล้วมีมานานแล้ว แต่น่าจะเริ่มเป็นที่รู้จักในเทรดเดอร์รายย่อยบ้านเรา หรือใน trader social media ก็น่าจะไม่นานมานี่ที่ทางคุณต้าน แห่ง Mudley Group ได้นำมาแบ่งปันเป็นแนวทางให้เพื่อนๆเทรดเดอร์นำไปต่อยอด หลายๆคนก็นำไปหาข้อมูลเพิ่มเติม เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง บางคนก็เข้าใจดีและได้เป็นแนวทางการพัฒนาการเทรดของตัวเองไปในทิศทางต่างๆ ตามที่คุณต้านมีเจตนาไว้ในตอนแรก ส่วนผมนั้นก็พยายามไม่พูดถึงเรืองนี้ เพราะบอกตรงๆว่าไม่ใช่พื้นที่ที่ผมถนัดครับ แต่แล้วก็มาถึงจนได้ จากคำถามของเพื่อนเทรดเดอร์หน้าเพจท่านหนึ่ง แต่เมือรับปากไว้แล้วก็เลยมาเป็น Note ฉบับนี้นะครับ
ก่อนอื่นมาทำความตกลงกันก่อนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความถนัดของผมนะครับ ผมเพียงแค่เล่าให้ฟังจากความเข้าใจของผมที่ได้ศึกษามา ให้ไว้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้นนะครับ ดังนั้น ความถูกต้องของข้อมูล อาจไม่ถูกต้องตรงตามทฤษฏี หรือ แนวคิดของคุณต้านนะครับ
เรามาเริ่มทำความรู้จัก Money Management กันก่อน ในหัวผมแบ่งเรื่องของ Money Management เป็น 3 อย่างใหญ่ๆ ไล่จากความง่ายไปยากในความเห็นผมนะครับ
Position Management
Trade Management
Portfolio Management
สมการ “Return = Cash + Beta + Alpha” นี้ เป็น 1 ในแนวคิดของ Portfolio Management ซึ่งยากที่จะอธิบาย เหมือนการเอาใยแมงมุมมาเรียงให้เป็นเส้นนั้นละคับ มันจะพันกันไปพันกันมา เพราะเนื้อหาทุกอย่างเกี่ยงข้องกันไปหมด ผมถึงไม่ค่อยชอบเขียนบทความเกียวกับ Management กับ Mindset เท่าไร กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า ผมคงต้องขออนุญาติใช้คำทับศัพท์บ้างนะครับ เพราะถ้าแปลแล้ว บางทีจะผิดความหมายไป
สมการนี้ เป็น 1 ใน CAPM (Capital Asset Pricing Model) ที่เป็น Regression equation ตัวสมการจริงๆ พอจะเขียนได้ดังนี้ครับ
E(R) = Rf + B(Rm-Rf) + A
E(R) = อัตราผลตอบแทนคาดหวังจากความเสี่ยง
Rf = อัตราผลตอบแทนจะการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง (Risk-Free Rate)
Rm = อัตราผลตอบแทนจากความเสียงของตลาด (Market-Risk Rate)
B = ก็คือค่า Beta
A = ก็คือค่า Alpha
(Rm-Rf) เป็นการทำ adjusted risk ซึ่งบางแห่งก็วัดกันโดนใช้ Rm ไปเลยก็มี สมการนี้ พยายามแจกแจงว่าผลตอบแทนคาดหวังของการลงทุนหรือเก็งกำไร (ผลตอบแทนของ portfolio) มาจาก 3 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเงินสด เช่นการฝากเงินกินดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยก็คือ Rf ในกรณีนี้ ซึ่งเราไม่สามารถไปกำหนดหรือควบคุมอะไรได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายการคลัง ส่วนที่ 2 คือ ส่วนที่ขึ้นกับความเสียงของตลาด หรือการขึ้นลงของราคา หรือความ volatile ของตลาด นั้นก็คือ Rm (หรือ Rm-Rf) ซึ่งวัดผลกันด้วยค่า ฺBeta ส่วนสุดท้าย คือ ส่วนเกิน (หรือส่วนขาดในกรณีติดลบ) จากความเคลื่อนไหวของตลาด ซึ่งขึ้นกับความสามารถของผู้บริหาร portfolio นั้นๆ ที่เราเรียกว่า Alpha นั้นเอง ถึงตรงนี้ เราก็พอจะอธิบายได้ง่ายๆว่า
ผลตอบแทน (Return) มาจาก (=) การบริหารพอร์ต 3 ส่วน คือ เงินสด (Cash) + ผลตอบแทนจากความเสี่ยงของตลาด (Beta) + ผลตอบแทนจากความสามารถเฉพาะตัวของผู้บริหารกองทุน (Alpha)
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการแบ่งพอร์ต ออกเป็น 3 ส่วน คือ Cash, Beta, และ Alpha ถ้าให้เปรียบเทียบคือ Cash ก็คือการถือเงินสด พอเงินมากๆเข้า ก็เริ่มไปซื้อหุ้นเก็บไว้แนว VI (เริ่มสร้างพอร์ต Beta) และถ้าเก่งขึ้นมาหน่อยก็จะเริ่มเทรดซื้อๆขายๆ ไปๆกลับๆ ทำให้ผลตอบแทนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าถือหุ้นไว้ 1 ปี ราคาเพิ่มขึ้น 20% ผลตอบแทนของ Beta คือ 20% แต่ถ้าเราทำการซื้อๆขายๆ ด้วย ทำให้ผลตอบแทนเป็น 25% ส่วนเกิน 5% นั้นก็คือ Alpha หรือ อาจมีการกันเงินอีกส่วนไว้ไปเทรดเก็งกำไร แล้วทำผลตอบแทนได้ 5% โดยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกอง Beta เลย ก็เรียกว่ามี Alpha 5% เหมือนกัน เพราะผลตอบแทนรวมคือ 25% [มองว่า Rf เป็น 0 ไปก่อนนะครับ]
ถึงตรงนี้ เพื่อนๆคงพอจะเข้าใจสมการนี้กันบ้างแล้วนะครับ แล้วก็ถูกต้องครับ ที่เราเทรดๆกันอยู่นี้ก็คือการทำ Alpha นี่ละ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ ครั้งหน้าจะมาลงรายละเอียดคุณสมบัติของ Beta กับ Alpha กันอีกที
หลังจากที่รู้จักสมการ Return = Cash + Beta + Alpha และความหมายกันไปแล้ว เราลองมาลงรายละเอียดกันอีกนิดนะครับ
Cash หรือก็คือเงินสด เราจะมีเงินสดเป็นปริมาณเท่าไรในพอร์ตของเรานั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถและความถนัดของผู้บริหารพอร์ตแต่ละคน ผลตอบแทนจากเงินสด แน่นอนว่าน้อยกว่าส่วนอื่น แต่ก็แลกมาซึ่งการไร้ความเสี่ยง ผลตอบแทนส่วนนี้ เคยสูงถึงระดับ 15% มาก่อน และลงมาต่ำมากๆ ในช่วงนี้ จนบางแห่งเป็น 0% เลยก็มี (ตอนนี้ทางยุโรปเริ่มใช้มาตรการที่ต่ำกว่า 0% หรือ ดอกเบี้ยติดลบแล้ว) แม้ว่าผลตอบแทนต่ำ แต่สิ่งที่เป็นความสำคัญของพอร์ตส่วนนี้คือการให้สภาพคล่องที่จะขว้าโอกาสที่อาจจะมีเข้ามา หรือการปรับพอร์ตเมื่อเวลาที่เหมาะสม เปลี่ยน Cash ไปเป็น Beta หรือ Alpha เพื่อเร่งการเติบโตของพอร์ต ผู้บริหารพอร์ตหลายๆท่าน ก็อาจพิจารณาว่า พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น ก็เป็นเครื่องมือทีเหมาะกับเงินในส่วนนี้ และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยทั่วๆไปอีกเล็กน้อย อันนี้ก็แล้วแต่แผนของแต่ละคนนะครับ สิ่งที่เราต้องคอยพิจารณาเสมอสำหรับเงินกองนี้ของพอร์ต คือ ต้องไม่มีความเสียง (หรือต่ำมากในกรณีของพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น) และ ความยืดหยุ่นในการหยิบมาใช้ได้ทันทีที่ต้องการ
เมื่อเราเข้าใจ Cash และ ความเสียงของมันแล้ว (ไม่มีเลยหรือต่ำมาก) ก่อนจะไปทำความรู้จักกับ Beta และ Alpha ผมขอแนะนำศัพท์เกี่ยวกับความเสียงอีก 2 ตัวให้ทราบกันนะครับ
1. Systematic Risk หรือ เรียกกันทั่วไปว่า Market Risk: ความเสียงตัวนี้คือความเสียงของตลาดโดยรวม เช่น เวลามีข่าวไม่ดี หุ้นลงกันทั้งกระดาน ไม่ว่าจะถือหุ้นตัวไหนก็ลง อันนี้คือ Systematic Risk ไม่สามารถป้องกันหรือแก้ไขด้วยการกระจายความเสี่ยง (Diversification) เพราะหุ้นทั้งกระดานลงหมด [เนื่องจากหุ้นทั้งการดานถือว่ามี Correlation กันอยู่ แต่ถ้าเราพิจารณาสินทรัพย์ตัวอื่นเช่น Commodity หรือ Bonds ที่ไม่มี Correlation กับหุ้น การใช้ Diversification จะยังมีประโยชน์ ดังนั้น การกระจายความเสี่ยง ต้องกระจายไปใน Uncorrelated Asset ทั้งนี้เพื่อจุดมุ่งหมายคือการลดความเสียงจาก Systematic Risk ตัวนี้นั่นเองครับ -- พยายามเข้าใจตรงนี้นะครับ ค่อนข้างสำคัญเพราะเรียกว่าเป็น 1 ใน core technique ของ portfolio management เลยทีเดียว ถ้าไม่เข้าใจกลับไปอ่านใหม่จนกว่าจะเข้าใจนะครับ ]
2. Unsystematic Risk หรือ Idiosyncratic Risk: เป็นความเสียงที่ไม่มี correlation กับ Market Risk เช่น บริษัทแห่งหนึ่งเกิดปัญหาโกดังไฟไหม้ ทรัพย์สินเสียหาย ต้องผิดนัดส่งสินค้าโดนค่าปรับ เหตุการณ์แบบนี้ จะเกิดผลเสียกับบริษัทนั้นบริษัทเดียว ไม่กระทบไปทั้งตลาด เราสามารถป้องกันได้โดยการกระจายความเสียงไปยังหุ้นตัวอื่นๆที่ทำธุรกิจแบบเดียวกัน (บริษัทอื่นๆ อาจได้รับประโยชน์จากการที่สินค้าขาดตลาด ดังนั้นการทำ diversification กับหุ้นในกลุ่มเดียวกันจะให้ประโยชน์สูงมาก เพราะไม่เพียงแต่ลดการขาดทุนจากหุ้นที่เสียหาย แต่ยังมีโอกาสได้รับกำไรจากหุ้นตัวอื่นๆ มาชดเชย แต่ถ้าเรา diversify ไปที่หุ้นคนละประเภทเลย ก็จะไม่เกี่ยงข้องกันและไม่ได้รับผลกำไรจากเหตุการณ์เดียวกันมาชดเชย)
Beta จากสมการในตอนที่1 เราก็พอทราบแล้วว่า Beta คือค่าผลตอบแทนทีเกี่ยวข้องกับ Market Risk หรือการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาด (ซึ่งหมายถึงมี volatility) สมมติว่าเราจะสร้างพอร์ต Beta ของเรา โดยการถือหุ้นเพียง 1 ตัว (ให้ลองนึกภาพการซื้อเก็บแบบ VI คือถือยาวๆดูก่อนนะครับ) สมมติว่าเป็นหุ้นบริษัทก่อสร้างที่มีความเคลื่อนไหวของราคาค่อนข้างหวือหวา (ค่อนข้าง Volatile) ถ้ากลุ่มก่อสร้างโดยเฉลี่ยเคลื่อนไหว +10% แต่ราคาหุ้นตัวนี้เคลื่อนไหว +20% อันนี้เราจะเรียกว่าหุ้นตัวนี้ มี Beta=2 แต่ในทางกลับกัน ก็จะหมายถึงว่า ถ้ากลุ่มก่อสร้างเคลื่อนไหว -10% ราคาหุ้นตัวนี้ก็จะเคลื่อนไหว -20% ไปด้วย (จะเห็นได้ว่า ค่า Beta จะเป็นเท่าไรนั้นจะขึ้นกับตัวอ้างอิงซึ่งต้องมีเสมอ ซึ่งโดยมากมักเป็นดัชนีหลักของตลาดที่มีความครอบคลุมและความหลายหลายมากที่สุด เช่น S&P500 หรือ SET50 ในบ้านเรา) แต่ถ้าราคาหุ้นนั้นเคลื่อนไหวเพียง 5% เราก็จะได้ว่าหุ้นตัวนั้นมีค่า Beta=0.5 เป็นต้น — แต่การถือหุ้นเพียง 1 ตัวเราจะต้องเผชิญความเสี่ยงทั้งจาก Systematic Risk และ Unsystematic Risk (ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงเพียงตัวเดียวโดยที่ตลาดโดยรวมไม่เปลี่ยนแปลง) แต่งานของเราคือการลดความเสียงลง เพื่อให้พอร์ตมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (อันนี้คือจุดมุ่งหมายของกอง Beta คือค่อยๆเติบโตอย่างมั่นคงไปเรื่อยๆตามตลาด ผลตอบแทนแม้จะน้อย แต่ก็จะไม่เหนื่อยมาก และผลตอบแทนที่ได้ก็จะเป็นในรูปแบบที่ค่อนข้าง passive ง่ายต่อการบริหาร) เพื่อเป็นการกระจายความเสียง ก็เกิดเป็นการซื้อหุ้นหลายๆตัวเข้าไปในพอร์ตกองนี้ ถ้าเก่งหน่อยก็เลือกเอง แต่ถ้าไม่รู้จะเลือกยังไง ก็ลงเป็นพวก index ETF เช่น S&P500(SPY) หรือ SET50(TDEX) ก็ได้เหมือนกัน จะเห็นว่าพอทำแบบนี้ ความเสียงที่เป็น Unsystematic Risk ก็จะน้อยลงมากจนแทบไม่มีเลย ทีนี้พอมีการกระจายความเสียงจนมีแต่ Systematic Risk แล้ว Beta เฉลี่ยของหุ้นในพอร์ตเรา ก็คือค่า Beta หรือผลตอบแทนคาดหวังจากความเสียงของตลาด ซึ่งในกรณี่ที่เราใช้ Index ETF เช่น S&P500 ค่า Beta ของ Index ตัวนั้นก็คือค่า Beta ของพอร์ตเรา ซึ่งผลเปรียบเทียบก็จะออกมาเป็น 1 คือ หรือ พูดง่ายๆว่า กอง Beta กองนี้จะมีผลตอบแทนเท่ากับตลาด เกาะตลาดอย่างเหนียวแน่นนั่นเอง ตลาดบวก ผลตอบแทนเราก็บวก ตลาดลบ ผลตอบแทนเราก็ลบ อย่างไรก็ตาม ลักษณะของกอง Beta นี้คือจะ ไม่ค่อยมีลูกเล่นมากนัก ไม่ค่อยมีตัวเลือกมากนัก ไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก และผลตอบแทนก็ไม่ค่อยมากมายนัก (Few in numbers but cheap to obtain + Low Risk, Low Return) อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อว่าถ้าบริหารอย่างถูกต้อง Beta นี้เมื่อผ่านไปนานๆจะอย่างไรก็เป็นบวก และมากกว่า Cash.
Alpha เป็นผลตอบแทนของพอร์ต ซึ่งขึ้นกับความสามารถของผู้บริหารกองทุน ไม่เกียวกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด เช่นถ้าหุ้นตัวหนึ่ง เริ่มต้นปีที่ราคา 10 บาท ระหว่างปีมีความเคลื่อนไหวลงไปต่ำสุดที่ 5 บาท และ สูงสุดที่ 15 บาท แต่สุดท้ายสิ้นปีราคากลับมาที่ 10 บาท ถ้ามองในแง่ของ Beta จะไม่มีผลตอบแทน แต่ถ้าผู้บริหารสามารถขายที่ 13 บาท และซื้อคืนได้ที่ 8 บาทในเวลาต่อมาระหว่างปี ก็จะได้กำไรมา 5 บาท กำไรส่วนนี้คือ Alpha หรือเรียกได้ว่ามี Alpha=0.5 (หรือ 50% เทียบจากขนาดทุน คือ 10 บาท) แต่ถ้าผู้บริหารเกิดผิดพลาด ซื้อที่ 13 บาทขายที่ 8 บาทแทน ก็จะทำให้เกิด Alpha ติดลบได้เช่นกัน เราจะเห็นว่า Alpha ตรงนี้ยังคงเกี่ยวพันกับความเคลื่อนไหวของราคาตลาดอยู่ดังนั้นเราจึงเรียก Alpha ตรงนี้ว่า Tainted Alpha แต่ในอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันเรียกว่าทำ Arbitrage คือดูความแตกต่างของราคาสินทรัพย์ตัวเดียวกันบน 2 ตลาดและถ้ามีความแตกต่าง ก็จะทำการซื้อจากตลาดที่ถูก ไปขายในตลาดที่แพงในเวลาเดียวกัน ทำให้ได้กำไรส่วนต่างโดยไม่มีการถือครองสินทรัพย์ ดังนั้น ความเสียงจากตลาดหรือความเสียงจากความผันผวนของราคาจึงไม่มี (ไม่มีความเสียงจากความผันผวนของราคา แต่ไม่ใช่ไม่มีความเสียงเลยนะครับ ไม่เหมือนกันอย่าสับสน) เราเรียก Alpha ตรงนี้ว่า True Alphaหรือ Pure Alpha (เราจะเห็นว่าเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ที่เทรดๆกันนั้นก็คือการทำ Tainted Alpha นั้นเอง เนื่องจากอาจไม่มีเครื่องมือหรือช่องทางที่เหมาะสมในการทำ Pure Alpha อีกประการหนึ่ง คือ ความรู้ประสบการณ์และเทคนิกเฉพาะเป็นสิ่งจำเป็นมากในการทำ Alpha ไม่ว่าจะเป็น Tainted หรือ Pure Alpha) ถ้าสังเกตุให้ดี เราจะพบว่า Alpha เป็นการพยายามหากำไรหรือผลประโยชน์ จาก Unsystematic Risk ต่างกับ Beta ที่หาผลประโยชน์จาก Systematic Risk ดังนั้น timing เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ลักษณะของ Alpha คือ ขึ้นอยู่กับเทคนิก และแผนการเทรด มีความเป็นไปได้มากมายหลากหลายรูปแบบ แต่ต้องลงทุนลงแรงค่อนข้างมาก และมีผลตอบแทนคาดหวังได้ค่อนข้างสูง (Unlimited and Expensive + Trading Strategy + High Risk, High Return). อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องเข้าใจเกี่ยวกับ Alpha คือจะเป็นพวก zero sum game ดังนั้นถ้าตลาดเป็น Effective Market โดยสมบูรณ์ การหากำไรจาก Alpha เรียกได้ว่ายากมากจนแทบไม่มีเลย (but there is no perfect in this world) แนวคิดอีกอย่างที่พบเห็นกันคือการถือทรัพย์สินที่ไม่มีต้นทุน (คือเอากำไรจากพอร์ตมาซื้อเน้นๆ) แล้วเรียกส่วนนี้ว่า True Alpha ตรงนี้ในมุมมองผม เป็นทั้งใช่และไม่ใช่ แต่ในความเห็นส่วนตัวของผม ทางทฤษฏีควรเป็น Tainted Alpha มากกว่าถ้าหากว่ายังมีการได้ผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคา เนื่องจากว่า ถ้ามูลค่าของมันลดลง ขนาดพอร์ตของเราก็จะลดลงด้วย (ลองคิดดูว่า ถ้าเราบริหารพอร์ต แล้วเอากำไรทั้งหมดมาเก็บ Alpha แบบนี้แล้วถือให้เป็น True Alpha นั้นหมายความว่าพอร์ตของเราไม่มีการเติบโตขึ้นเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายบริหารพอร์ตของแต่ละท่านนะครับ )
ถึงตรงนี้หวังว่าเพื่อนๆน่าจะพอเข้าใจ สมการ Return = Cash + Beta + Alpha กันบ้างแล้วนะครับว่า เป็นเรื่องของรูปแบบผลตอบแทนคาดหวังจากพอร์ตการลงทุน โดยพิจารณาจากความเสียง คือ Cash ไม่มีความเสี่ยง, Beta มาจาก Systematic Risk และ Alpha มาจาก Idiosyncratic Risk นั้นเองครับ (ฺฺฺBeta จะให้ผลตอบแทนในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับ passive income มากกว่า Alpha ที่น่าจะพิจารณาเป็นการได้ผลตอบแทนแบบ active income อันเนื่องมากจากผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับ trading strategy ที่ใช้ และความสามารถของผู้บริหารพอร์ตที่ใช้ strategy นั้นๆ) เราสามารถหาผลตอบแทนทั้ง 3 จากการบริหารกองลงทุนกองเดียวกัน หรือแบ่งออกเป็น 2 กองคือ Cash กับ Beta+Alpha หรือ 3 กอง คือ Cash, Beta, และ Alpha แยกอิสระจากกันก็ได้ ขึ้นกับวิธีการบริหารพอร์ตของผู้บริหารพอร์ตแต่ละท่านครับ
ขอจบตอนนี้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ตัวหนังสือเริ่มเยอะ เดียวจะเบื่อกันเปล่าๆ ตอนหน้า (คงเป็นตอนสุดท้ายละครับ) เราจะมาดูตัวอย่างการบริหารพอร์ตรูปแบบง่ายๆ จากองค์ประกอบทั้ง 3 นี้ และ สิ่งที่ทำให้กองทุน BridgeWater โด่งดัง รวมไปถึงบทสรุปของเรื่องกันครับ

11/10/14

3.

0282 : Close System Again



Close System Again


จากที่ได้อ่านบันทึกของมาร์แว่นฯ น้องขวัญ Funfund และ ความอนุเคราะห์ของน้องเป้ MyLife MyMind ที่เล่าความรู้จาก พี่ต้าน ที่สอนให้กับ โครงการ mentor trader คนพิการ ให้ฟัง วันนี้ขอมาสรุปอีกรอบในภาษาของตัวเอง โดยเริ่มจากระบบพื้นฐานก่อน คือ Close System ในส่วนของ Day Trade และ HFT ขอติดไว้ก่อน กำลังทดลองทำอยู่ครับ 555


ที่เข้าใจก็คือ Close System เป็นเหมือนฐานทัพ เป็น Base ของกองทุน หรือ Firm ต่างๆในโลก ที่เห็นเค้าเทรดๆๆ Day Trade หรือ Scalping ต่างๆ นั้นเค้าเทรดบนกำไร หรือ CF จาก Close system ทั้งนั้น ไม่มีหรอกที่จะให้มาเทรดบนเงินทุน


การบริหาร Port ก็จะแบ่งเป็น 2 step

1. ทำ Close System ( บริหารเงินทุนเริ่มต้น)

2. เอา CF ไปต่อยอด (ทำ Day Trade)

แต่จากข้อ 2. ก็จะแยกไปอีก 2. ข้อ คือ

2.1 แบ่ง CF จาก Day Trade ที่ได้มาเล่น HFT (หรือ Scalping)

2.2 แบ่ง CF อีกส่วนนึงมาเล่นกับ Trend (กินยาวๆ)



ทีนี้มาถึงการทำ Close System


แต่ก่อนจะเข้า close system ต้องมี mindset ก่อน คือ วินัยสำคัญที่สุด สำคัญกว่าการถูกผิด แม้จะยิงถูกทางได้กำไร แต่ถ้าผิดวินัยก็ต้องถูกลงโทษ


Close System = ระบบปิด เป็นระบบที่ไม่ต้องเติมเงินเข้า port แล้วก็ต้องไม่ตาย (ไม่ล้างพอร์ต)

ซึ่งก็ทำได้โดยการที่เราต้องคำนวณ Buffer ของกระสุนแต่ละนัดของ close system ว่า จะใช้ทุนรองรับเท่าไหร่

เช่น เรามีทุน $3,000 เราอยากเทรด ทอง กระสุน นัดละ 0.01 lot จะกำหนดได้กี่นัด ก็มาคำนวณ

สมมติ ให้ worse case ทอง อาจจะลบไปมากสุดที่ $800 (กรณีเทรดฝั่ง Long) ก็เตรียมไว้เผื่อโดนลาก $500 / 0.01 lot

เราก็จะมีกระสุน $3,000 / $500 = 6 นัด ( 0.01 x 6 )

ถ้าคิดจะเสี่ยงขึ้นมาหน่อยก็ลด buffer ลงจาก $500 ต่อนัด อาจจะเหลือ $400 , $300 ก็ได้ เงิน $3,000 ก็จะมีกระสุนเยอะขึ้นแลกกับความเสี่ยงที่มากขึ้น (อยู่ที่เราออกแบบ)


ถ้าเราวางระบบไว้แบบนี้ เราก็ไม่มีความจำเป็นต้อง Cut Loss



Close System ทำขึ้นมาเพื่อ

1. สร้าง CF ได้สม่ำเสมอ
2. เป็น Passive Income ให้ port
3. อยู่รอดในตลาดในนานๆๆๆๆๆ



จากนั้นก็จะเป็นระบบเทรดของ Close System


1. Direction Bias ฝึก Focus ทีละทิศทาง มีตัวกำหนดว่าตอนนี้เราจะเล่น Bias ทางไหน แล้วเมื่อไหร่จะเปลี่ยนทางเล่น ในตัวอย่างใช้ ถ้า Price ยืนเหนือ Moving ก็ให้เล่นฝั่ง Long ถ้าอยู่ต่ำก็เล่น Short Bias โดยจะเป็นการเล่นหน้าเดียวตาม Bias หลักที่เรา set ไว้

เอาง่ายๆคือ กำหนด Bias หลักจาก TF ใหญ่ๆ เพราะ กราฟ TF ใหญ่ๆ เช่น TF Day  ซึ่ง Trend มันเปลี่ยนช้า ว่าตอนนี้เรามองทางไหน เช่นถ้าเรามองทาง Long Bias เราก็เลือกจิ้มเลยว่าจุดไหน จังหวะไหนเราจะ Long บ้าง

ทีนี้ก็จะต่อมาที่ข้อ 2



2. ระบบ ลดต้นทุน

สมมุติเราเลือกเล่นทาง Long

Long AUDJPY ที่ 94 แล้วไปปิดที่ 95 การลดต้นทุน คือ การรับคืนให้ถูกกว่าที่ปิดตะกี้ จะรับคืนก็ต่อเมื่อมันลงมาต่ำกว่า 95 พอมันลงมาต่ำกว่า 95 ก็จะเลือกจิ้มแบบข้อ 1 ว่าเราจะเข้าตรงไหน ยังไง ตามใจเรา

แต่ถ้ามันไม่ลงมา กระสุนนัดนั้นก็จะไม่สามารถเอามาซื้อได้

เช่นสมมุตเราตั้งใจจะเทรด AUDJPY 5 bullet นัดละ 0.01 lot

หากเราปิดที่ 95 แล้วมันไปต่อ เราใช้นัด 1 ไปแล้ว โดน lock ที่ราคา 95 หากราคาเหนือ 95 ขึ้นมาเราก็ไม่สามารถเอานัด 1 มาไล่ราคาได้

ต้องงัดนัด 2 ออกมาใช้

แล้วหากนัด 2 ปิดแล้วไปต่อ นัด 2 ก็ โดน Lock จะซื้อโซนสูงๆ ก็ต้องงัดนัด 3

ถ้าวางโซนไม่ดี กระสุนก็หมดนะจ๊ะ อิอิ

ถ้าเราไม่เอากระสุนไล่ราคา กระสุนของเราก็จะมีต้นทุนลดลงเรื่อยๆๆ อันนี้คือระบบลดต้นทุนครับ



3. แบ่งโซน

แบ่งโซนด้วย ATR Day นับจากราคาที่เข้า position

เช่น ทอง เราเข้า Long ที่ 1305 ATR Day วันนี้อยู่ที่ 15 หากมันร่วงลงมา เราจะเข้าได้ก็ต่อเมื่อมันลงไปต่ำกว่า 1290 เท่านั้น ( 1305 - 15 ) นั่นคือ safety factor ของเรา

มันเป็นการป้องกันไม่ให้เราเข้าถี่เกินไป เพราะเวลาเราเทรดแล้วติดดอย เราจะเกิดการอยากเอาชนะ ยิ่งลงยิ่งอัด ยิ่งลงยิ่งถัว ระยะ ATR ตรงนี้จะเป้นตัวช่วยเราไม่ให้เรายิงถี่ ติดดอยแบบซ้ำโซน



4. เลือก Product


ทำไมต้องเลือก Forex ก็เพราะว่า Forex มันแกว่งในกรอบจำกัด ยกตัวอย่างเช่น USDTHB มันแกว่งกรอบ 25-50 มากี่ปีแล้วไม่เคยหลุดเลย

แต่ที่เรารู้สึกว่า Forex มันโหด เพราะเราเล่นมันอยู่บน Leverage ที่สูง 1:500 อะไรงี้ เราเลยรู้สึกว่ามันโหด

อีกข้อก็คือ สภาพคล่องมันสูง และ ความผันผวนเยอะด้วย market model ดักกินตังค์ได้ง่ายดี 555 อันนี้เติมเองนะ อิอิ



พอเราวางระบบ close system แล้วเทรดก็จะมี CF เรื่อยๆ ก็นำไปต่อยอดในระบบ Day Trade ต่อครับ

11/10/14

2.

0183 : Close System แบบเม่าๆ



Close System แบบเม่าๆ


ขอแชร์ความเข้าใจและไอเดีย Close System ของผมนะครับ มีตรงไหนผมเข้าใจผิดพี่ๆน้องๆช่วยแนะนำผมด้วยนะค้าบ
 
Close System ชื่อก็บอกว่าระบบปิด ซึ่งจะเป็นส่วนของ Beta

ย้อนมาที่ Beta กันก่อน จากสมการของ Ray Dalio ที่บอกว่า Return = Cash + Beta + Alpha นั้น Beta คือส่วนของการทำ Cash Flow เครื่องผลิตเงินสด ซึ่งข้อสำคัญของมันคือ ต้องทำให้มันเทรดได้ตลอด สร้าง CF ได้สม่ำเสมอ ไม่ว่าตลาดจะเป็นยังไง

ซึ่งใน Beta ของผมก็มี หลาย model (กระจายความเสี่ยง 555) ไม่ว่าจะเทรดปกติดในพอร์ต Fx แบบไม่มี Swap อีก model ก็เป็น Logic side vs. Dark Side x 2 ทั้ง 2 model ก็เป็น close system เช่นกันครับ

ส่วนที่จะพูดถึงก็คือ Close System ซึ่งเดิม ผมเทรดแบบปกติ กิน Swap ใน positions ที่คุมโซนในตลาด แต่ไม่ได้คำนึงถึง Correlated ของแต่ละ product เลยครับ พอได้อ่าน status ของพี่ปลาหมึก ก็เลยได้ไอเดียเพิ่มเติมเรื่องการหา lagging product เพื่อเอามาจับคู่กับค่าเงินคู่อื่นๆ

ปกติใน port ผมที่เทรดกิน Swap ก็จะเลือกเทรด product ที่ให้ Swap เยอะหน่อย เช่น AJ AU และจะเทรด พวกที่ Swap น้อยลงมาเป็นบ้างครั้ง (หากเห็นโอกาส) เช่นพวก UJ EU

ซึ่งจากที่พี่ปลาหมึกแนะแนวการหา product ก็คือการจัดหมวดหมูคู่ค่าเงิน เช่น AUDxxx USDxxx GBPxxx โดยเอามาจัดเรียงว่าคู่ไหนให้ Swap ยังไง Swap+ ฝั่ง Long หรือ Swap+ ฝั่ง Short

อย่างโบรคฯ Lite Forex ที่ผมใช้ ฝั่ง Swap+ ฝั่ง Long จะมี 

11/10/14

Close System/Cash Flow/Direction Bias/ระบบปรับต้นทุน/Zone/ATR/Product Forex/Stop Loss/Mean Reverse/Sclaping Action/Step Up Step Down/Trend
Mindset ที่ถูกต้อง
บางส่วนของงานประชุม Mudley (ตามความเข้าใจของผม พี่ๆ ช่วยเสริมด้วยนะครับ)
การบริหารกระสุนหรือหน้าตักเรา ให้เล่น 0.01 lot (กฏเหล็ก)
ใส่คอมเม้นทุกครั้ง ใส่ชื่อเราลงไปในคอมเม้นจะได้รู้ว่ากระสุนของใคร ไม่เน้นเร็ว(เพราะ ไม่ได้ซื้อหุ้นปั่นแป่ะ55) ทุกอย่างคำนวนไว้เล๋ว
สร้างวินัย สำคัญมากกว่าถูกหรือผิด
เรื่องการบริหารพอร์ตแบ่งเป็น 2 ตอน
1. การบริหารต้นทุนเริ่มแรก(Close System)
2. การบริหารกำไรที่ได้มา(Day Trade)
ระบบ Close System คือ
1. เป็นระบบที่เราไม่ต้องเติมเงินเข้าพอร์ตอีกเลย หลังจากครังแรก (เอาเงินออกอย่างเดียว)
วิธีการทำระบบ
Product ที่เทรดได้เสียจุดละเท่าไร เช่น SET50 ได้เสียจุดละ 200 เรียกว่า Multiply
เช่น ตย.1 เรามีทุน 100,000 บาท เล่น Long SET50 1 สัญญา @1,000 ก้อเอา 1,000*200 = 200,000 บาท ไม่ถือว่าเป็น Close System เพราะว่ามันเกินทุน ด้วยข้อสันนิษฐานที่ว่า SET50 = 0 ได้ แม้ว่าความจริงจะไม่ถึงก้อตามแต่ก้อต้องคำนวนเพื่อไว้ก่อน
หรืออาจจะคำนวนเป็น ตย.2 SET50 = 750(คือลงมาได้มากสุดแค่นี้ แบ่งโซนแบบเสี่ยงหน่อย) ก้อเอา 750*200 = 150,000 ก้อจะได้ว่า 200,000-150,000 = 50,000 บาท 1 สัญญาวางเงิน 50,000 บาท เพื่อกรอบไว้ที่ 250 จุด ถือว่าเปน Close System เพราะว่าไม่เกินทุน 100,000 บาท
2. กระสุน = เงิน Cover พอ เช่น ตย.2 ก้อมีกระสุน 2 นัด วางนัดละ 50,000 บาท
วัตถุประสงค์ของ ระบบ Close System เพื่อ
1. สร้าง Cash Flow ได้อย่างสม่ำเสมอ
2. เพื่อเป็น Passive Income
3. เพื่อให้อยู่รอดในตลาดได้นาน แบบไม่มีวันหมด
สิ่งที่ควรรู้ของระบบ Close System
1. Direction bias >>> ฝึกโฟกัสที่ละทิศทาง >>>ใช้ moving avg เปนตัวกำหนดใน TF daily สมมติ เส้น 100 Simple เส้นไรก้อได้ให้เปนมาตรฐาน ว่าเหนือเส้นนี้ Bias Long ต่ำกว่าเส้นนี้ Bias Short ไม่ได้สำคัญที่ว่าจะถูกหรือผิด หรือว่าเล่นแบบนี้ได้ชัวๆ ไม่ใช่ ที่สำคัญคือความสม่ำเสมอในการเทรด มันเปนระเบียบวินัยที่ต้องทำตาม ต้องตัดอารมณ์ตัวเองออกละทำตามระบบนี้ (ส่วนตัวผมคิดว่า นะตอนนั้นจริงๆมันทำยากมากๆครับ)
2. ระบบปรับต้นทุน เช่น Long Aud/Jpy @L 94 ละก้อ ขาย(close long)ที่เท่าไรห้ามซื้อ(long)สูงกว่าที่ขาย(close long)>>กฏเหล็ก<>> คือช่วงโซน 1320 1280 ที่เราจะเล่นเทรดต่อถ้ามันไปถึง
4. Product ที่เลือกคือ Forex ข้อดีคือ
4.1 กรอบของมันจำกัด(หรือมัน Side Way ตลอดชาตินั่นเองครับ)
4.2 สภาพคล่องสูง ซื้อขายไม้ใหญ่ๆได้ตามสะดวกเลยครับ
5. ไม่มี Stop Loss ใน Close System เพราะ วางหน้าตักและกระสุนไว้หมดแล้วครับ และที่พี่ต้านเน้นคือ เพราะ “น้องยังไม่พร้อมที่จะ Stop Loss ครับ”
หัวข้อที่ 2 ครับ เรื่อง การบริหารกำไรที่ได้มา(Day Trade)
Close System ได้กำไรละมาต่อยอดด้วย Day Trade(ไม่ใช่จบในวันนะครับ หมายถึงเล่นเกบระยะครับ)
Day Trade คือการสร้างกระสุนจำลองขึ้นมา (กระสุนเพิ่มมาจากกำไรของ Close System)
เช่น ได้กำไรจาก Close System มา 100 เหรียญ จะเอากำไรมาเล่นทั้งหมดเลยมันก้อเสี่ยงเกินไป ก้ออาจจะแบ่งเปน ดึงออก 50 เอามาเทรด 50 (แบ่งเปนตัวอย่างนะครับ แบ่งได้ตามความเหมาะสมของแต่ละท่านไ้เลยครับ(จากที่ฟังมามีเข้ามูลนิธิด้วย แต่สัดส่วนผมไม่พูดถึงครับรอทางพี่ต้านกำหนดครับ)) ตอนนี้มีทุน Day Trade 50 เหรียญ สมมติ Close System มีกระสุน 10 นัด ก้อจะมีกระสุนเพิ่ม มาอีก 2 นัด (เพิ่มจาก Day Trade)
ตย. เล่น AUD/JPY ได้เสียจุดละ 10 เหรียญ Long 90 ขึ้นไป 91 ได้กำไร 10 เหรียญ >>> กระสุนจำลองที่ได้เพิ่มมา 2 นัด=นัดละ 25 เหรียญ ถ้า Long AUD/JPY @92.5 1 นัด เราก้อจะไปโดน stop loss ที่ @90 (สบายยยไปกำไรหายไป 25 เหรียญ 55) เหลืออีก 1 นัด พิจารณาตัวเองก่อนเถอะค่อยเทรดต่อ(อันนี้พี่ต้านไม่ได้บอกผมเติมเอง 55) ต้องดูที่ตัวสินค้าด้วยนะครับ
จะเทรด Product ใดก้อได้ แต่จะต้องมี Stop Loss ที่ 2-2.5 ATR Day
กฏเหล็ก(หลักการ)
1. ต้องมี บัฟเฟอ เสมอว่าจะยอมเสียเท่าไร เสียได้เท่าไร (ตามกำไรที่ได้มานั่นแหละครับ คำนวนเปนจุดให้เรียบร้อย)
2. ต้องตั้ง Stop Loss ทันที (ตั้งตามที่คำนวนด้วย ATR เลยครับ)ห้าม Stop Loss ด้วยใจเด็ดขาด(555ผมทำบ่อย)
วิธีการที่ใช้ในการ Day Trade (การตัดสินใจ)
1. Mean Reverse >>> จะเทรดตอนเข้าใกล้ ATR (น่าจะเปนตอนแพนิคเพราะมันจะสวิงมาก) ต้องคำนึงระยะทางที่จะเกบได้ด้วย
เช่น AUD/JPY ราคาปิดเมื่อวาน @90 ATR=2 ก้อหมายความว่ากรอบของวันนี้มันจะวิ่งระหว่าง 92 กับ 88 สมมติ Bias Long เราก้อควรจะ Long แถวๆ 88-88.50 เปน zone สำหรับตัดสินใจในการ Long สมมติได้ Long @88.50 ก้อตั้ง Stop Loss ที่ 2 ATR คือ 4 จุด =ตั้งStop Loss @84.50 (ต้องคำนวนให้พอดีกับ บัฟเฟอที่มีด้วยนะครับ) โอกาสที่จะโดน Stop Loss มันต้องเปนเทรนอ่ะครับ ถึงจะโดน
ส่วน TP ก้ออาจจะถือกินยาวก้อได้หรือว่าจะคำนวนค่าเฉลี่ยของการทำกำไรของเราก้อได้เช่น เราเทรดส่วนใหญ่ทำกำไรได้ 3 เหรียญ ก้อตั้ง TP ไว้ที่ @91.50 หรือ ตาม ATR ก้อได้เกบระยะสัก 1 ATR ก้อ TP @89.50 เกบระยะทางไปเรื่อยๆ
2. Sclap >> เน้น Action action มาก่อนทิศทาง ต้องมีจังหวะที่ได้เปรียบ ตัดสินใจบนสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก
เรื่องที่ต้องรู้ Linear และ Non Linear
Linear คือ สิ่งที่คำนวนได้ เช่น Indy ต่างๆ Rsi Sto ไรพวกเนี้ยอ่ะ
Non Linear คือ สิ่งที่คำนวนไม่ได้ เช่น หุ้น ไม่มีใครคำนวนได้ว่ามันจะไปยังไง(ถ้ามีใครคำนวนได้บอกผมด้วยนะครับ555)
นึกถึง สุริยุปราคา เพราะนานๆจะมาที จะมองหาการสอดคล้องกันของ Linear และ Non Linear เช่น สมมติให้ Linear=EMA และ Non Linear=AUD/JPY ก้อคือ เส้น EMA@90 กับ AUD/JPY@90 ทับกัน ตรงนี้แหละที่เราต้อง Action จะ Long Short ไรก้อได้ตามระบบเลยครับ (ผิด ถูก ไม่รู้นะครับ 5555) แต่ไม่ใช่ตัดสินใจมั่วนะครับ ต้องตามระบบ
3. Step Up <> Step Down
3.1 เทรด Mean Reverse ถูกทางได้กำไร 1 atr แบ่งกำไรออกมาเทรด sclap เกบเท่าไรถึงจะคุ้ม
4. Trend เอากระสุนฟรีมาเล่น
5. Cut Loss >>> ใน Close System คือ ได้กำไรจากเดย์เทรดก้อเอามาคัทลอส ในครอสซิดเทม
ระบบไม่ได้ถุกต้องเสมอ แต่มันช่วยให้ไม่ตาย อยุ่รอดในตลาดได้
3. Step Up <> Step Down
3.1 (Step Up) เทรด Mean Reverse คือการเทรดเก็บระยะทางสมมติ เราเทรด Mean ผิดทาง โอกาสที่จะผิดมันน้อยเพราะว่ามันจะต้องเปนเทรนจริงๆ(กระสุนนัดนี้เหมือนกับแหย่ตลาดถามทางถ้าผิดก้อเสียบัฟเฟอ ถ้าถูกได้กำไรเพิ่ม)
เราเทรด Mean ถูกทางได้กำไร 1 atr เราก้อ เอาออกมา 0.25 atr เพื่อเอามาเป็น บัฟเฟอในการเทรด Sclap ควรแบ่งมา 0.25 ถึง 0.50 atr ละที่เหลือก้อเอาไปเทรด Mean ต่อครับ
3.2 (Step Up) แบ่งกำไรออกมาเทรด sclap ตามที่อธิบายไว้อันก่อนคือ เทรดตรงจุดที่เกิดได้ยาก คือตรงเส้น Ema ที่เราใช้เมื่อราคาวิ่งมาชนเส้นตรงนี้แหละที่เราจะเข้า ละจุดออก เราก้อต้องไปคำนวนแบคเทสออกมาว่า เมื่อราคาวิ่งชน ema ละมันวิ่งไปได้เท่าไร หาออกมาเปนค่าเฉลี่ยละกำหนดเป็น TP ต่อรอบที่เราเทรด(หาระยะที่ราคาวิ่งออกจากเส้น ema) สมมติ 0.20-0.30 เซน ยิ่งสั้นยิ่งได้เปรียบ พี่ต้าน”บอกว่าต้องลองเทรดละน้องจะรู้ว่า TP ของน้องควรจะอยู่ตรงไหน” ตอนเทรด ตั้งทั้ง Stop loss (0.25ถึง0.50 ATR)และ Target Price(ตามค่าเฉลี่ยที่คำนวนได้) ไว้ตั้งแต่ตอนเข้า
ปล. เนื้อหาตรงส่วนนี้ แอดวานมากๆครับ อาจจะอธิบายไม่ถูกนะครับ ผมเขียนตามที่ผมเข้าใจอ่ะครับ
3.3 (Step Up) Trend เอากระสุนฟรีมาเล่น ตามที่ผมเข้าใจคือ เอากำไรจาก Mean กับ sclap มาเทรด ควรมี TP 3 ถึง 4 ATR ครับถ้าเก็บได้ต่ำกว่านี้มันไม่ใช่เทรนครับ ถ้าได้กำไร ก้อแบ่ง 1 atr ไปเทรด mean แบ่งอีก 1atr ไป sclap ก้อได้ ทำงี้ไปเรื่อยๆ พอร์ตระเบิดครับ(ตรงนี้เติมเองนะครับ55)
มันจะวนๆกันไปเรื่อยๆนะครับ ได้กำไร mean ก้อแบ่ง บัฟเฟอไป sclap ได้กำไรก้อไปเทรด Trend ละก้อได้กำไรอีก ก้อแบ่งบัฟเฟอไปเทรด mean sclap ครับ(ตอนเทรดจริงเป็นงี้ก้อดีสิครับ555 แต่ตอนเทรดจริงมีเรื่อง การรอ การตัดสินใจ อารมณ์ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก)
3.4 (Step Down) Cut Loss >>> ใน Close System คือ ได้กำไรจากเดย์เทรดก้อเอามาคัทลอส ในครอสซิดเทม เปนขั้นตอนสุดท้ายที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น555 สมมติว่า เราเทรด day trade ได้กำไรมา 2 atr ละมีกระสุนของ close system ติดอยู่ เราก้อเอากำไรที่ได้มา มาปลดล็อคกระสุนได้ครับ
ปล. การเข้าเทรดอย่าลืม 3 กฏเหล็ก 1.กฏการปรับต้นทุน กับ 2.กฏการ Bias ทิศทาง กับ 3.การแบ่ง Zone นะคร้าบบบ(มันจะมีกรณี โซนซ้ำกันของกระสุน close กับ day ในกรณีนี้ผมก้อ งง ครับ 555 ที่เคยตอบหลังไมค์เรื่องซ้ำโซน ขอโทษด้วยครับผมอาจจะเข้าใจผิดครับ)
ระบบไม่ได้ถุกต้องเสมอ แต่มันช่วยให้ไม่ตาย อยุ่รอดในตลาดได้