Return = Cash + Beta + Alpha
Cr: Donkey Trader
“Return = Cash + Beta + Alpha (ตอนที่ 1)
June 22, 2014 at 1:18am
สมการนี้ท่านได้แต่ใดมา ขอปูพื้นเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านเล็กน้อยนะครับ จะได้ไปพร้อมๆกัน
“Return = Cash + Beta + Alpha (ตอนที่ 1)
June 22, 2014 at 1:18am
สมการนี้ท่านได้แต่ใดมา ขอปูพื้นเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านเล็กน้อยนะครับ จะได้ไปพร้อมๆกัน
สมการนี้จริงๆ แล้วมีมานานแล้ว แต่น่าจะเริ่มเป็นที่รู้จักในเทรดเดอร์รายย่อยบ้านเรา หรือใน trader social media ก็น่าจะไม่นานมานี่ที่ทางคุณต้าน แห่ง Mudley Group ได้นำมาแบ่งปันเป็นแนวทางให้เพื่อนๆเทรดเดอร์นำไปต่อยอด หลายๆคนก็นำไปหาข้อมูลเพิ่มเติม เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง บางคนก็เข้าใจดีและได้เป็นแนวทางการพัฒนาการเทรดของตัวเองไปในทิศทางต่างๆ ตามที่คุณต้านมีเจตนาไว้ในตอนแรก ส่วนผมนั้นก็พยายามไม่พูดถึงเรืองนี้ เพราะบอกตรงๆว่าไม่ใช่พื้นที่ที่ผมถนัดครับ แต่แล้วก็มาถึงจนได้ จากคำถามของเพื่อนเทรดเดอร์หน้าเพจท่านหนึ่ง แต่เมือรับปากไว้แล้วก็เลยมาเป็น Note ฉบับนี้นะครับ
ก่อนอื่นมาทำความตกลงกันก่อนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความถนัดของผมนะครับ ผมเพียงแค่เล่าให้ฟังจากความเข้าใจของผมที่ได้ศึกษามา ให้ไว้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้นนะครับ ดังนั้น ความถูกต้องของข้อมูล อาจไม่ถูกต้องตรงตามทฤษฏี หรือ แนวคิดของคุณต้านนะครับ
เรามาเริ่มทำความรู้จัก Money Management กันก่อน ในหัวผมแบ่งเรื่องของ Money Management เป็น 3 อย่างใหญ่ๆ ไล่จากความง่ายไปยากในความเห็นผมนะครับ
Position Management
Trade Management
Portfolio Management
สมการ “Return = Cash + Beta + Alpha” นี้ เป็น 1 ในแนวคิดของ Portfolio Management ซึ่งยากที่จะอธิบาย เหมือนการเอาใยแมงมุมมาเรียงให้เป็นเส้นนั้นละคับ มันจะพันกันไปพันกันมา เพราะเนื้อหาทุกอย่างเกี่ยงข้องกันไปหมด ผมถึงไม่ค่อยชอบเขียนบทความเกียวกับ Management กับ Mindset เท่าไร กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า ผมคงต้องขออนุญาติใช้คำทับศัพท์บ้างนะครับ เพราะถ้าแปลแล้ว บางทีจะผิดความหมายไป
Position Management
Trade Management
Portfolio Management
สมการ “Return = Cash + Beta + Alpha” นี้ เป็น 1 ในแนวคิดของ Portfolio Management ซึ่งยากที่จะอธิบาย เหมือนการเอาใยแมงมุมมาเรียงให้เป็นเส้นนั้นละคับ มันจะพันกันไปพันกันมา เพราะเนื้อหาทุกอย่างเกี่ยงข้องกันไปหมด ผมถึงไม่ค่อยชอบเขียนบทความเกียวกับ Management กับ Mindset เท่าไร กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า ผมคงต้องขออนุญาติใช้คำทับศัพท์บ้างนะครับ เพราะถ้าแปลแล้ว บางทีจะผิดความหมายไป
สมการนี้ เป็น 1 ใน CAPM (Capital Asset Pricing Model) ที่เป็น Regression equation ตัวสมการจริงๆ พอจะเขียนได้ดังนี้ครับ
E(R) = Rf + B(Rm-Rf) + A
E(R) = อัตราผลตอบแทนคาดหวังจากความเสี่ยง
Rf = อัตราผลตอบแทนจะการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง (Risk-Free Rate)
Rm = อัตราผลตอบแทนจากความเสียงของตลาด (Market-Risk Rate)
B = ก็คือค่า Beta
A = ก็คือค่า Alpha
Rf = อัตราผลตอบแทนจะการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง (Risk-Free Rate)
Rm = อัตราผลตอบแทนจากความเสียงของตลาด (Market-Risk Rate)
B = ก็คือค่า Beta
A = ก็คือค่า Alpha
(Rm-Rf) เป็นการทำ adjusted risk ซึ่งบางแห่งก็วัดกันโดนใช้ Rm ไปเลยก็มี สมการนี้ พยายามแจกแจงว่าผลตอบแทนคาดหวังของการลงทุนหรือเก็งกำไร (ผลตอบแทนของ portfolio) มาจาก 3 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเงินสด เช่นการฝากเงินกินดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยก็คือ Rf ในกรณีนี้ ซึ่งเราไม่สามารถไปกำหนดหรือควบคุมอะไรได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายการคลัง ส่วนที่ 2 คือ ส่วนที่ขึ้นกับความเสียงของตลาด หรือการขึ้นลงของราคา หรือความ volatile ของตลาด นั้นก็คือ Rm (หรือ Rm-Rf) ซึ่งวัดผลกันด้วยค่า ฺBeta ส่วนสุดท้าย คือ ส่วนเกิน (หรือส่วนขาดในกรณีติดลบ) จากความเคลื่อนไหวของตลาด ซึ่งขึ้นกับความสามารถของผู้บริหาร portfolio นั้นๆ ที่เราเรียกว่า Alpha นั้นเอง ถึงตรงนี้ เราก็พอจะอธิบายได้ง่ายๆว่า
ผลตอบแทน (Return) มาจาก (=) การบริหารพอร์ต 3 ส่วน คือ เงินสด (Cash) + ผลตอบแทนจากความเสี่ยงของตลาด (Beta) + ผลตอบแทนจากความสามารถเฉพาะตัวของผู้บริหารกองทุน (Alpha)
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการแบ่งพอร์ต ออกเป็น 3 ส่วน คือ Cash, Beta, และ Alpha ถ้าให้เปรียบเทียบคือ Cash ก็คือการถือเงินสด พอเงินมากๆเข้า ก็เริ่มไปซื้อหุ้นเก็บไว้แนว VI (เริ่มสร้างพอร์ต Beta) และถ้าเก่งขึ้นมาหน่อยก็จะเริ่มเทรดซื้อๆขายๆ ไปๆกลับๆ ทำให้ผลตอบแทนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าถือหุ้นไว้ 1 ปี ราคาเพิ่มขึ้น 20% ผลตอบแทนของ Beta คือ 20% แต่ถ้าเราทำการซื้อๆขายๆ ด้วย ทำให้ผลตอบแทนเป็น 25% ส่วนเกิน 5% นั้นก็คือ Alpha หรือ อาจมีการกันเงินอีกส่วนไว้ไปเทรดเก็งกำไร แล้วทำผลตอบแทนได้ 5% โดยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกอง Beta เลย ก็เรียกว่ามี Alpha 5% เหมือนกัน เพราะผลตอบแทนรวมคือ 25% [มองว่า Rf เป็น 0 ไปก่อนนะครับ]
ถึงตรงนี้ เพื่อนๆคงพอจะเข้าใจสมการนี้กันบ้างแล้วนะครับ แล้วก็ถูกต้องครับ ที่เราเทรดๆกันอยู่นี้ก็คือการทำ Alpha นี่ละ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ ครั้งหน้าจะมาลงรายละเอียดคุณสมบัติของ Beta กับ Alpha กันอีกที
หลังจากที่รู้จักสมการ Return = Cash + Beta + Alpha และความหมายกันไปแล้ว เราลองมาลงรายละเอียดกันอีกนิดนะครับ
Cash หรือก็คือเงินสด เราจะมีเงินสดเป็นปริมาณเท่าไรในพอร์ตของเรานั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถและความถนัดของผู้บริหารพอร์ตแต่ละคน ผลตอบแทนจากเงินสด แน่นอนว่าน้อยกว่าส่วนอื่น แต่ก็แลกมาซึ่งการไร้ความเสี่ยง ผลตอบแทนส่วนนี้ เคยสูงถึงระดับ 15% มาก่อน และลงมาต่ำมากๆ ในช่วงนี้ จนบางแห่งเป็น 0% เลยก็มี (ตอนนี้ทางยุโรปเริ่มใช้มาตรการที่ต่ำกว่า 0% หรือ ดอกเบี้ยติดลบแล้ว) แม้ว่าผลตอบแทนต่ำ แต่สิ่งที่เป็นความสำคัญของพอร์ตส่วนนี้คือการให้สภาพคล่องที่จะขว้าโอกาสที่อาจจะมีเข้ามา หรือการปรับพอร์ตเมื่อเวลาที่เหมาะสม เปลี่ยน Cash ไปเป็น Beta หรือ Alpha เพื่อเร่งการเติบโตของพอร์ต ผู้บริหารพอร์ตหลายๆท่าน ก็อาจพิจารณาว่า พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น ก็เป็นเครื่องมือทีเหมาะกับเงินในส่วนนี้ และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยทั่วๆไปอีกเล็กน้อย อันนี้ก็แล้วแต่แผนของแต่ละคนนะครับ สิ่งที่เราต้องคอยพิจารณาเสมอสำหรับเงินกองนี้ของพอร์ต คือ ต้องไม่มีความเสียง (หรือต่ำมากในกรณีของพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น) และ ความยืดหยุ่นในการหยิบมาใช้ได้ทันทีที่ต้องการ
เมื่อเราเข้าใจ Cash และ ความเสียงของมันแล้ว (ไม่มีเลยหรือต่ำมาก) ก่อนจะไปทำความรู้จักกับ Beta และ Alpha ผมขอแนะนำศัพท์เกี่ยวกับความเสียงอีก 2 ตัวให้ทราบกันนะครับ
1. Systematic Risk หรือ เรียกกันทั่วไปว่า Market Risk: ความเสียงตัวนี้คือความเสียงของตลาดโดยรวม เช่น เวลามีข่าวไม่ดี หุ้นลงกันทั้งกระดาน ไม่ว่าจะถือหุ้นตัวไหนก็ลง อันนี้คือ Systematic Risk ไม่สามารถป้องกันหรือแก้ไขด้วยการกระจายความเสี่ยง (Diversification) เพราะหุ้นทั้งกระดานลงหมด [เนื่องจากหุ้นทั้งการดานถือว่ามี Correlation กันอยู่ แต่ถ้าเราพิจารณาสินทรัพย์ตัวอื่นเช่น Commodity หรือ Bonds ที่ไม่มี Correlation กับหุ้น การใช้ Diversification จะยังมีประโยชน์ ดังนั้น การกระจายความเสี่ยง ต้องกระจายไปใน Uncorrelated Asset ทั้งนี้เพื่อจุดมุ่งหมายคือการลดความเสียงจาก Systematic Risk ตัวนี้นั่นเองครับ -- พยายามเข้าใจตรงนี้นะครับ ค่อนข้างสำคัญเพราะเรียกว่าเป็น 1 ใน core technique ของ portfolio management เลยทีเดียว ถ้าไม่เข้าใจกลับไปอ่านใหม่จนกว่าจะเข้าใจนะครับ ]
2. Unsystematic Risk หรือ Idiosyncratic Risk: เป็นความเสียงที่ไม่มี correlation กับ Market Risk เช่น บริษัทแห่งหนึ่งเกิดปัญหาโกดังไฟไหม้ ทรัพย์สินเสียหาย ต้องผิดนัดส่งสินค้าโดนค่าปรับ เหตุการณ์แบบนี้ จะเกิดผลเสียกับบริษัทนั้นบริษัทเดียว ไม่กระทบไปทั้งตลาด เราสามารถป้องกันได้โดยการกระจายความเสียงไปยังหุ้นตัวอื่นๆที่ทำธุรกิจแบบเดียวกัน (บริษัทอื่นๆ อาจได้รับประโยชน์จากการที่สินค้าขาดตลาด ดังนั้นการทำ diversification กับหุ้นในกลุ่มเดียวกันจะให้ประโยชน์สูงมาก เพราะไม่เพียงแต่ลดการขาดทุนจากหุ้นที่เสียหาย แต่ยังมีโอกาสได้รับกำไรจากหุ้นตัวอื่นๆ มาชดเชย แต่ถ้าเรา diversify ไปที่หุ้นคนละประเภทเลย ก็จะไม่เกี่ยงข้องกันและไม่ได้รับผลกำไรจากเหตุการณ์เดียวกันมาชดเชย)
1. Systematic Risk หรือ เรียกกันทั่วไปว่า Market Risk: ความเสียงตัวนี้คือความเสียงของตลาดโดยรวม เช่น เวลามีข่าวไม่ดี หุ้นลงกันทั้งกระดาน ไม่ว่าจะถือหุ้นตัวไหนก็ลง อันนี้คือ Systematic Risk ไม่สามารถป้องกันหรือแก้ไขด้วยการกระจายความเสี่ยง (Diversification) เพราะหุ้นทั้งกระดานลงหมด [เนื่องจากหุ้นทั้งการดานถือว่ามี Correlation กันอยู่ แต่ถ้าเราพิจารณาสินทรัพย์ตัวอื่นเช่น Commodity หรือ Bonds ที่ไม่มี Correlation กับหุ้น การใช้ Diversification จะยังมีประโยชน์ ดังนั้น การกระจายความเสี่ยง ต้องกระจายไปใน Uncorrelated Asset ทั้งนี้เพื่อจุดมุ่งหมายคือการลดความเสียงจาก Systematic Risk ตัวนี้นั่นเองครับ -- พยายามเข้าใจตรงนี้นะครับ ค่อนข้างสำคัญเพราะเรียกว่าเป็น 1 ใน core technique ของ portfolio management เลยทีเดียว ถ้าไม่เข้าใจกลับไปอ่านใหม่จนกว่าจะเข้าใจนะครับ ]
2. Unsystematic Risk หรือ Idiosyncratic Risk: เป็นความเสียงที่ไม่มี correlation กับ Market Risk เช่น บริษัทแห่งหนึ่งเกิดปัญหาโกดังไฟไหม้ ทรัพย์สินเสียหาย ต้องผิดนัดส่งสินค้าโดนค่าปรับ เหตุการณ์แบบนี้ จะเกิดผลเสียกับบริษัทนั้นบริษัทเดียว ไม่กระทบไปทั้งตลาด เราสามารถป้องกันได้โดยการกระจายความเสียงไปยังหุ้นตัวอื่นๆที่ทำธุรกิจแบบเดียวกัน (บริษัทอื่นๆ อาจได้รับประโยชน์จากการที่สินค้าขาดตลาด ดังนั้นการทำ diversification กับหุ้นในกลุ่มเดียวกันจะให้ประโยชน์สูงมาก เพราะไม่เพียงแต่ลดการขาดทุนจากหุ้นที่เสียหาย แต่ยังมีโอกาสได้รับกำไรจากหุ้นตัวอื่นๆ มาชดเชย แต่ถ้าเรา diversify ไปที่หุ้นคนละประเภทเลย ก็จะไม่เกี่ยงข้องกันและไม่ได้รับผลกำไรจากเหตุการณ์เดียวกันมาชดเชย)
Beta จากสมการในตอนที่1 เราก็พอทราบแล้วว่า Beta คือค่าผลตอบแทนทีเกี่ยวข้องกับ Market Risk หรือการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาด (ซึ่งหมายถึงมี volatility) สมมติว่าเราจะสร้างพอร์ต Beta ของเรา โดยการถือหุ้นเพียง 1 ตัว (ให้ลองนึกภาพการซื้อเก็บแบบ VI คือถือยาวๆดูก่อนนะครับ) สมมติว่าเป็นหุ้นบริษัทก่อสร้างที่มีความเคลื่อนไหวของราคาค่อนข้างหวือหวา (ค่อนข้าง Volatile) ถ้ากลุ่มก่อสร้างโดยเฉลี่ยเคลื่อนไหว +10% แต่ราคาหุ้นตัวนี้เคลื่อนไหว +20% อันนี้เราจะเรียกว่าหุ้นตัวนี้ มี Beta=2 แต่ในทางกลับกัน ก็จะหมายถึงว่า ถ้ากลุ่มก่อสร้างเคลื่อนไหว -10% ราคาหุ้นตัวนี้ก็จะเคลื่อนไหว -20% ไปด้วย (จะเห็นได้ว่า ค่า Beta จะเป็นเท่าไรนั้นจะขึ้นกับตัวอ้างอิงซึ่งต้องมีเสมอ ซึ่งโดยมากมักเป็นดัชนีหลักของตลาดที่มีความครอบคลุมและความหลายหลายมากที่สุด เช่น S&P500 หรือ SET50 ในบ้านเรา) แต่ถ้าราคาหุ้นนั้นเคลื่อนไหวเพียง 5% เราก็จะได้ว่าหุ้นตัวนั้นมีค่า Beta=0.5 เป็นต้น — แต่การถือหุ้นเพียง 1 ตัวเราจะต้องเผชิญความเสี่ยงทั้งจาก Systematic Risk และ Unsystematic Risk (ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงเพียงตัวเดียวโดยที่ตลาดโดยรวมไม่เปลี่ยนแปลง) แต่งานของเราคือการลดความเสียงลง เพื่อให้พอร์ตมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (อันนี้คือจุดมุ่งหมายของกอง Beta คือค่อยๆเติบโตอย่างมั่นคงไปเรื่อยๆตามตลาด ผลตอบแทนแม้จะน้อย แต่ก็จะไม่เหนื่อยมาก และผลตอบแทนที่ได้ก็จะเป็นในรูปแบบที่ค่อนข้าง passive ง่ายต่อการบริหาร) เพื่อเป็นการกระจายความเสียง ก็เกิดเป็นการซื้อหุ้นหลายๆตัวเข้าไปในพอร์ตกองนี้ ถ้าเก่งหน่อยก็เลือกเอง แต่ถ้าไม่รู้จะเลือกยังไง ก็ลงเป็นพวก index ETF เช่น S&P500(SPY) หรือ SET50(TDEX) ก็ได้เหมือนกัน จะเห็นว่าพอทำแบบนี้ ความเสียงที่เป็น Unsystematic Risk ก็จะน้อยลงมากจนแทบไม่มีเลย ทีนี้พอมีการกระจายความเสียงจนมีแต่ Systematic Risk แล้ว Beta เฉลี่ยของหุ้นในพอร์ตเรา ก็คือค่า Beta หรือผลตอบแทนคาดหวังจากความเสียงของตลาด ซึ่งในกรณี่ที่เราใช้ Index ETF เช่น S&P500 ค่า Beta ของ Index ตัวนั้นก็คือค่า Beta ของพอร์ตเรา ซึ่งผลเปรียบเทียบก็จะออกมาเป็น 1 คือ หรือ พูดง่ายๆว่า กอง Beta กองนี้จะมีผลตอบแทนเท่ากับตลาด เกาะตลาดอย่างเหนียวแน่นนั่นเอง ตลาดบวก ผลตอบแทนเราก็บวก ตลาดลบ ผลตอบแทนเราก็ลบ อย่างไรก็ตาม ลักษณะของกอง Beta นี้คือจะ ไม่ค่อยมีลูกเล่นมากนัก ไม่ค่อยมีตัวเลือกมากนัก ไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก และผลตอบแทนก็ไม่ค่อยมากมายนัก (Few in numbers but cheap to obtain + Low Risk, Low Return) อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อว่าถ้าบริหารอย่างถูกต้อง Beta นี้เมื่อผ่านไปนานๆจะอย่างไรก็เป็นบวก และมากกว่า Cash.
Alpha เป็นผลตอบแทนของพอร์ต ซึ่งขึ้นกับความสามารถของผู้บริหารกองทุน ไม่เกียวกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด เช่นถ้าหุ้นตัวหนึ่ง เริ่มต้นปีที่ราคา 10 บาท ระหว่างปีมีความเคลื่อนไหวลงไปต่ำสุดที่ 5 บาท และ สูงสุดที่ 15 บาท แต่สุดท้ายสิ้นปีราคากลับมาที่ 10 บาท ถ้ามองในแง่ของ Beta จะไม่มีผลตอบแทน แต่ถ้าผู้บริหารสามารถขายที่ 13 บาท และซื้อคืนได้ที่ 8 บาทในเวลาต่อมาระหว่างปี ก็จะได้กำไรมา 5 บาท กำไรส่วนนี้คือ Alpha หรือเรียกได้ว่ามี Alpha=0.5 (หรือ 50% เทียบจากขนาดทุน คือ 10 บาท) แต่ถ้าผู้บริหารเกิดผิดพลาด ซื้อที่ 13 บาทขายที่ 8 บาทแทน ก็จะทำให้เกิด Alpha ติดลบได้เช่นกัน เราจะเห็นว่า Alpha ตรงนี้ยังคงเกี่ยวพันกับความเคลื่อนไหวของราคาตลาดอยู่ดังนั้นเราจึงเรียก Alpha ตรงนี้ว่า Tainted Alpha แต่ในอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันเรียกว่าทำ Arbitrage คือดูความแตกต่างของราคาสินทรัพย์ตัวเดียวกันบน 2 ตลาดและถ้ามีความแตกต่าง ก็จะทำการซื้อจากตลาดที่ถูก ไปขายในตลาดที่แพงในเวลาเดียวกัน ทำให้ได้กำไรส่วนต่างโดยไม่มีการถือครองสินทรัพย์ ดังนั้น ความเสียงจากตลาดหรือความเสียงจากความผันผวนของราคาจึงไม่มี (ไม่มีความเสียงจากความผันผวนของราคา แต่ไม่ใช่ไม่มีความเสียงเลยนะครับ ไม่เหมือนกันอย่าสับสน) เราเรียก Alpha ตรงนี้ว่า True Alphaหรือ Pure Alpha (เราจะเห็นว่าเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ที่เทรดๆกันนั้นก็คือการทำ Tainted Alpha นั้นเอง เนื่องจากอาจไม่มีเครื่องมือหรือช่องทางที่เหมาะสมในการทำ Pure Alpha อีกประการหนึ่ง คือ ความรู้ประสบการณ์และเทคนิกเฉพาะเป็นสิ่งจำเป็นมากในการทำ Alpha ไม่ว่าจะเป็น Tainted หรือ Pure Alpha) ถ้าสังเกตุให้ดี เราจะพบว่า Alpha เป็นการพยายามหากำไรหรือผลประโยชน์ จาก Unsystematic Risk ต่างกับ Beta ที่หาผลประโยชน์จาก Systematic Risk ดังนั้น timing เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ลักษณะของ Alpha คือ ขึ้นอยู่กับเทคนิก และแผนการเทรด มีความเป็นไปได้มากมายหลากหลายรูปแบบ แต่ต้องลงทุนลงแรงค่อนข้างมาก และมีผลตอบแทนคาดหวังได้ค่อนข้างสูง (Unlimited and Expensive + Trading Strategy + High Risk, High Return). อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องเข้าใจเกี่ยวกับ Alpha คือจะเป็นพวก zero sum game ดังนั้นถ้าตลาดเป็น Effective Market โดยสมบูรณ์ การหากำไรจาก Alpha เรียกได้ว่ายากมากจนแทบไม่มีเลย (but there is no perfect in this world) แนวคิดอีกอย่างที่พบเห็นกันคือการถือทรัพย์สินที่ไม่มีต้นทุน (คือเอากำไรจากพอร์ตมาซื้อเน้นๆ) แล้วเรียกส่วนนี้ว่า True Alpha ตรงนี้ในมุมมองผม เป็นทั้งใช่และไม่ใช่ แต่ในความเห็นส่วนตัวของผม ทางทฤษฏีควรเป็น Tainted Alpha มากกว่าถ้าหากว่ายังมีการได้ผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคา เนื่องจากว่า ถ้ามูลค่าของมันลดลง ขนาดพอร์ตของเราก็จะลดลงด้วย (ลองคิดดูว่า ถ้าเราบริหารพอร์ต แล้วเอากำไรทั้งหมดมาเก็บ Alpha แบบนี้แล้วถือให้เป็น True Alpha นั้นหมายความว่าพอร์ตของเราไม่มีการเติบโตขึ้นเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายบริหารพอร์ตของแต่ละท่านนะครับ )
ถึงตรงนี้หวังว่าเพื่อนๆน่าจะพอเข้าใจ สมการ Return = Cash + Beta + Alpha กันบ้างแล้วนะครับว่า เป็นเรื่องของรูปแบบผลตอบแทนคาดหวังจากพอร์ตการลงทุน โดยพิจารณาจากความเสียง คือ Cash ไม่มีความเสี่ยง, Beta มาจาก Systematic Risk และ Alpha มาจาก Idiosyncratic Risk นั้นเองครับ (ฺฺฺBeta จะให้ผลตอบแทนในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับ passive income มากกว่า Alpha ที่น่าจะพิจารณาเป็นการได้ผลตอบแทนแบบ active income อันเนื่องมากจากผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับ trading strategy ที่ใช้ และความสามารถของผู้บริหารพอร์ตที่ใช้ strategy นั้นๆ) เราสามารถหาผลตอบแทนทั้ง 3 จากการบริหารกองลงทุนกองเดียวกัน หรือแบ่งออกเป็น 2 กองคือ Cash กับ Beta+Alpha หรือ 3 กอง คือ Cash, Beta, และ Alpha แยกอิสระจากกันก็ได้ ขึ้นกับวิธีการบริหารพอร์ตของผู้บริหารพอร์ตแต่ละท่านครับ
ขอจบตอนนี้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ตัวหนังสือเริ่มเยอะ เดียวจะเบื่อกันเปล่าๆ ตอนหน้า (คงเป็นตอนสุดท้ายละครับ) เราจะมาดูตัวอย่างการบริหารพอร์ตรูปแบบง่ายๆ จากองค์ประกอบทั้ง 3 นี้ และ สิ่งที่ทำให้กองทุน BridgeWater โด่งดัง รวมไปถึงบทสรุปของเรื่องกันครับ